Enterprise Cloud Servers

Dedicated Server

Dedicated Server คือการเช่าเซิร์ฟเวอร์ทั้งตัวเพื่อใช้งานและปรับแต่งตามความต้องการของผู้ใช้เอง โดยสามารถใช้งาน Resources ทั้งหมดของเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น CPU, Memory, Disk และ Network ที่เชื่อมต่อกับตัวเครื่องได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องแบ่งกับใคร แต่หากอุปกรณ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งเกิดปัญหา ระบบก็จะต้องหยุดการทำงานลงจนกว่าจะทำการเปลี่ยนอุปกรณ์และกู้ข้อมูลเสร็จสิ้น ซึ่งอาจกินเวลาหลายชั่วโมง หรือหลายวัน นอกเหนือไปจากนั้น การสำรองข้อมูล (backup) ก็มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับผู้ใช้บริการเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัว เพื่อที่จะสามารถกู้กลับคืนมาได้ในกรณีจำเป็น

VPS

Virtual Private Server คือเซิร์ฟเวอร์เสมือน หรือเป็นประหนึ่งเซิร์ฟเวอร์ แต่จำลองขึ้นมา โดยแบ่งเซิร์ฟเวอร์ 1 ตัว ออกเป็น VPS ย่อยๆ หลายๆ ตัว โดยที่แต่ละ VPS ทำงานแยกจากกัน แบ่ง CPU, Memory, Disk กันตาม Limit ที่ตั้งไว้ และแยกระบบ login รวมทั้งการทำงานภายในออกจากกันโดยเด็ดขาด หาก VPS ตัวใดโดนเจาะระบบผ่านตัว VPS เอง ก็ไม่มีผลด้านความปลอดภัยไปถึง VPS ตัวอื่นในเซิร์ฟเวอร์นั้นโดยตรง

ในภาพรวมเป็นบริการที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการความอิสระในการปรับแต่งการทำงานระดับ root หรือ services ต่างๆ เสมือนใช้เซิร์ฟเวอร์ตัวเอง แต่ด้วยงบประมาณจำกัดหรือความจำเป็นไม่มากขนาดที่จะต้องเช่าเซิร์ฟเวอร์ทั้งเครื่อง การเลือกใช้ VPS จึงเป็นทางเลือกที่สะดวกและสบายกระเป๋ากว่า ทั้งนี้ VPS ในปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ในราคาเดือนละไม่กี่ร้อยบาทขึ้นไปถึงหลักหลายพัน ขึ้นอยู่กับปริมาณ Limit ต่างๆ ที่เราต้องการใช้

Cloud Server

Cloud ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ เพียงแต่เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาจนถึงจุดที่สามารถนำมาใช้งานในวงกว้างได้อย่างจริงจัง ในราคาที่ไม่แพง ระบบ Cloud เป็นการทำงานร่วมกันของเซิร์ฟเวอร์จำนวนมาก โดยแบ่งชั้นการประมวลผลออกจากชั้นเก็บข้อมูล และอาจมีการคิดเงินแบบเหมาจ่ายรายเดือน หรือคิดแบบตามใช้งานจริงก็ได้

ชั้นการประมวลผล (Computing layer — CPU, Memory) เป็นการร่วมกันทำงานของเซิร์ฟเวอร์หลายเครื่อง ซึ่งแม้มีเซิร์ฟเวอร์ใดเสียหาย ก็จะไม่มีผลกับการใช้งานของลูกค้า เพราะระบบจะสวิทช์การประมวลผลไปยังเซิร์ฟเวอร์ตัวอื่นแทนโดยอัตโนมัติในทันที การประมวลผลของเว็บของผู้ใช้งานจะทำงานในชั้นนี้ ซึ่งระบบจะแบ่งทรัพยากร CPU, Memory ให้ตามจำนวนที่เลือกและแยกทรัพยากรกับผู้อื่นอย่างชัดเจน Cloud ส่วนมากจะมี Firewall ป้องกันระบบของแต่ละคนออกจากกันอย่างเด็ดขาด

ชั้นเก็บข้อมูล (Storage layer) เป็นการทำงานร่วมกันของระบบเก็บข้อมูลแบบ SAN (Storage Area Network) ซึ่ง Storage Layer นี้ จะต้องมีความเสถียรและความเร็วสูง และต้องมีระบบ Activate-Active หรือ Active-Standby เพื่อใช้งานระบบสำรองได้ทันทีที่เกิดเหตุขัดข้องของหน่วยเก็บข้อมูลหลัก จึงควรมี SAN อย่างน้อย 2 ตัว ซึ่งมีข้อมูลที่เหมือนกัน (Replicate) ตลอดเวลา หรือในบางระบบอาจใช้การทำงานของ Distributed Storage ในชั้นนี้ ซึ่งทำ Fully replicated และกระจายข้อมูลไปยัง Disk ต่างๆ ลูกกัน ข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้งานจะถูกเก็บไว้ที่ชั้นนี้

เครือข่ายเน็ตเวิร์คความเร็วสูง จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างชั้นการประมวลผล และชั้นเก็บข้อมูล เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถรับส่งข้อมูลได้อย่างทันใจตลอดเวลา

ระบบ Cloud บางแบบยังรองรับการขยายหรือหดตัวโดยอัตโนมัติสำหรับเซิร์ฟเวอร์เสมือนหรือเว็บของลูกค้า เมื่อการใช้งานเพิ่มหรือลด ตามที่ได้กำหนดไว้

นอกจากนี้ ยังมี Cloud ที่สามารถยืดขยายการทำงานให้ใช้ Resources ของระบบเกินขอบเขตของเครื่องๆ เดียว โดยการนำ CPU, Memory ของทุกเครื่องมารวมกัน และแบ่งให้บริการตามต้องการได้อีกด้วย

ระบบ Cloud จะมีต้นทุนของระบบที่สูงกว่าแบบอื่นมาก รวมทั้งไม่สามารถ Overselling (ขายเกินทรัพยากรรวมที่มี) ได้ ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยสูงกว่าบริการแบบอื่นๆ

ดังนั้น ด้วยระบบ Cloud เหล่านี้ ทำให้การทำงานของเว็บหรือเซิร์ฟเวอร์เสมือนของผู้ใช้งานไม่ติดขัด แตกต่างจากเว็บโฮสติ้ง, VPS หรือ Dedicated Server ทั่วไป ตรงที่หากเกิดการติดขัดเสียหายของอุปกรณ์ชิ้นใด อุปกรณ์ชิ้นอื่นก็จะทำงานทดแทนกันได้ทันที

เมื่อเข้าใจความแตกต่างของบริการต่างๆ จากข้อก่อนหน้านี้แล้ว ท่านจะสามารถพิจารณาเลือกใช้บริการให้เหมาะกับความต้องการและงบประมาณของท่านได้ ดังแนวทางต่อไปนี้

• เลือกใช้ Dedicated server ถ้าท่านต้องการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ และมีการจัดการระบบ Backup ที่ดี เพื่อให้กลับมาทำงานได้เร็วที่สุดในกรณีอุปกรณ์ในเครื่องเสียหาย โดยทั่วไประบบ Dedicated server จะมีความเร็วสูง และโดยเฉพาะการทำงานกับ Disk มักจะเร็วกว่า Cloud (ยกเว้นกรณีที่ Cloud ใช้ SSD Storage) เพราะ Disk ติดอยู่ภายในตัวเซิร์ฟเวอร์โดยตรง แต่อย่างไรก็ตาม ขึ้นกับระบบของ Disk ที่เครื่องด้วย ว่าจะเป็น Disk ประเภทใด ความเร็วเมื่อเทียบกับ SAN ที่ใช้ใน Cloud ก็จะแตกต่างกันไปไม่แน่นอน
• เลือกใช้ VPS หากไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์ทั้งเครื่อง VPS จะเป็นทางเลือกที่ประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุด โดยมีความปลอดภัยและความเสถียรใกล้เคียงกับการใช้งาน Dedicated server แต่ความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูลอาจจะต่ำกว่าเพราะทุก VPS ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์จะอ่านเขียนลง Disk เดียวกันภายในเครื่องทั้งหมด
• เลือกใช้ Cloud ถ้ามีงบประมาณเพียงพอและต้องการความสบายใจมากที่สุด บริการ Cloud ไม่มีโอกาสที่อุปกรณ์จะเสียหายพร้อมๆ กันทั้งหมดจนทำให้ระบบทำงานไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีการแบ่งชั้น Compute และ Storage ออกจากกัน ในกรณีผู้ใช้ที่ต้องทำการอ่านเขียนหนักมากๆ อาจได้ความเร็วของการอ่านเขียน Disk ไม่เร็วเท่ากับจาก Dedicated server เพื่อขจัดปัญหาดังกล่าว HostPacific จึงได้นำ SSD จำนวนมากมาทำงานร่วมกันเป็น Distributed SSD Storage ความเร็วสูง

นอกเหนือจากการที่ HostPacific.com เป็นผู้ให้บริการรายแรกในไทย ที่นำเทคโนโลยี Cloud Servers มาให้บริการเป็นการทั่วไป และระบบ Cloud Server ของ HostPacific.com อยู่บน Infrastructure ที่มีคุณภาพและเสถียรภาพเป็นที่ยอมรับของลูกค้าจำนวนมาก บวกกับประสบการณ์ในระบบ Cloud ทำให้ที่ผ่านมาระบบของเรามี Uptime มากกว่า 99.95%

แผนบริการ Cloud Servers ยังมาพร้อมกับ Unlimited data transfer และบริการช่วยเหลือดูแลระบบเบื้องต้น ซึ่งทำให้ท่านสบายใจกับค่าใช้จ่ายที่แน่นอน และมั่นใจยิ่งขึ้นไปอีกขั้น

Linux/BSD template พร้อมใช้

ข้อจำกัดในปัจจุบันของ Cloud server มีดังต่อไปนี้

• ปริมาณทรัพยากรสูงสุดที่จะใช้งานได้ของแต่ละ Cloud server ในปัจจุบันคือ 8 vCore CPU, 32GB RAM, disk space 10TB, bandwidth 1Gbps
• ในกรณีต้องการใช้ทรัพยากรสูงกว่าข้อจำกัดข้างต้น ท่านสามารถเปิดใช้บริการ Cloud server หลายๆ ตัว โดยกระจายการทำงานกันออกไป และใช้ Cloud load balancer ช่วยจัดการ ซึ่งเรามีบริการทั้งหมดให้ใช้งานได้ (กรุณาอ่านหัวข้อถัดไป) โปรดติดต่อฝ่ายขายสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
• ทรัพยากร (CPU, memory, disk space, bandwidth) ที่ลูกค้าซื้อไว้สำหรับ Cloud server ของตนเองอาจไม่พอ ทำให้ Cloud server ของลูกค้าดูเหมือนจะหยุดทำงาน ซึ่งในความเป็นจริงระบบยังคงทำงานอยู่ แต่ services ต่างๆ ภายในระบบอาจทำงานไม่ทัน หรือทำงานไม่ได้ แล้วแต่กรณี จึงดูเหมือนไม่ทำงาน ในกรณีนี้เราแนะนำให้ลูกค้าเพิ่ม Resource เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ โดยดูปริมาณการใช้งานเป็นระยะๆ และวางแผนการเพิ่มทรัพยากรล่วงหน้า การเพิ่มทรัพยากรบางชนิด เช่น CPU, memory, bandwidth สามารถเพิ่มได้ทันที แต่การเพิ่ม disk space จะต้องรีบูท Cloud server
• ในกรณีที่ Resource ไม่เพียงพอและทำให้ดูเหมือน Cloud server ไม่สามารถใช้งานได้ ลูกค้าสามารถเข้าตรวจสอบรายละเอียดและ restart Cloud server ด้วยตนเองผ่านทาง Console ได้จาก Client Area
• ระบบจะทำการ Failover เมื่อ Hardware ใดๆ เกิดปัญหาหรือไม่สามารถใช้งานได้ แต่จะไม่มีการ Failover ในกรณีที่ทรัพยากรไม่เพียงพอ (กรณีข้างบน) เพราะแม้จะมีการ Failover ไปที่ใด แต่ความต้องการของการใช้งาน Resource และ Resource ที่ได้รับก็ยังคงไม่สอดคล้องกัน ปัญหาจะแก้ไขได้โดยการปรับปรุงระบบงาน หรือซื้อทรัพยากรเพิ่มให้กับ Cloud server
• OS ที่รองรับการ Failover แบบอัตโนมัติโดยไม่มีการ reboot คือ CentOS, Fedora และ Ubuntu (เกือบทุกรุ่น)

ปกติแล้วการ Scale Cloud ทำได้ 2 แบบ คือ

• Vertical scaling: เพิ่มทรัพยากรใน Cloud หน่วยนั้นๆ เช่น เพิ่ม CPU, RAM, Storage size เป็นต้น ทำได้สะดวก ไม่ต้องแก้ไขโค้ด แต่มีข้อจำกัดที่ปริมาณสูงสุดของฮาร์ดแวร์
• Horizontal scaling: เพิ่มจำนวน Cloud server ร่วมกันทำงานเป็น Cluster และกระจายโหลดผ่าน Cloud load-balancer สามารถขยายระบบได้แบบไม่มีข้อจำกัด แต่อาจจะต้องปรับการทำงานโค้ดหรือ config load-balancer ให้ดี

ทีมงานยินดีให้คำปรึกษาฟรีกับลูกค้า Cloud Server ทุกท่าน ในการทำ Horizontal scaling ติดต่อเราได้ตลอดเวลา!